โจรก่อการร้ายข้ามชาติ

ขณะนี้ไอ้หมาหน้าเหลี่ยมได้ยกสถานะตัวเอง จากนักโทษหนีคดีธรรมดาๆ กลายเป็นโจรก่อการร้ายข้ามชาติไปแล้ว ใครพบเห็นขอให้ลากคอมันกลับมารับการประชาทัณฑ์ที่เมืองไทยทันที

ก่อนอื่น ขอบอกว่าตอนนี้โกรธเลือดขึ้นหน้ามาก ไม่คิดว่าสัตว์นรกในคราบมนุษย์ตัวนี้ จะสามารถหลอกผู้คนได้มากมาย และงมงายถึงเพียงนี้ ถ้าหากบทความนี้จะเขียนสะเปะสะปะไปบ้างก็ต้องขออภัย เพราะตอนนี้ไม่สามารถเรียบเรียงความคิดได้ รู้เพียงแต่ว่าอยากด่าไอ้เศษเดนมนุษย์ตัวนี้ให้หนำใจ...

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนจึงหลงเชื่อไอ้หมาหน้าเหลี่ยมนี่อย่างงมงายนัก การจะพูดจาผ่านวีดีโอลิงก์แบบพูดเองเออเองแบบนี้ใครๆก็ทำได้ จะพูดให้ตัวเองดูดียังไงก็ได้ จะโกหก ให้ร้ายอีกฝ่ายยังไงก็ได้ เพราะยังไงมันก็ไม่อยู่ในประเทศ ไม่กลัวคดีหมิ่นประมาทอยู่แล้ว

อาชญากรทุกคนก็ย่อมจะบอกว่าตนไม่ผิด ยิ่งไม่มีทนายฝ่ายโจทก์มาซักค้าน ไอ้หมาหน้าเหลี่ยมจะปั้นน้ำให้ตนเองดูดียังไงก็ได้
ถ้ามันเก่งจริง มันต้องกล้ามาโต้เถียงกันด้วยข้อมูล หลักฐานสิ มันเคยกล้าจะมาโต้กับสนธิไหม? รัฐมนตรีกษิตก็เคยท้าให้มาโต้วาทีกัน มันมาไหม? สมัยก่อนนักข่าวถามคำถามที่ล้วงลูกไปนิดมันทำยังไง บอกว่าคำถามไม่สร้างสรรค์ไม่ขอตอบ! มันเห็นชัดๆ ว่าไม่โปร่งใส มีสิ่งที่ปกปิดอยู่ อาชญากรทุกคนก็ย่อมจะบอกว่าตนไม่ผิด ยิ่งไม่มีทนายฝ่ายโจทก์มาซักค้าน ไอ้หมาหน้าเหลี่ยมจะปั้นน้ำให้ตนเองดูดียังไงก็ได้

มันไม่เคยตอบได้ว่าทรัพย์สินมากมายมหาศาลของมันได้มาจากไหน โดยเฉพาะเงินที่แอบซุกไว้ในต่างประเทศที่ไม่เคยปรากฏในบัญชีทรัพย์สิน
มันเคยตอบไหมว่าทำไมช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 บริษัทมันจึงได้รับผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาทน้อยมาก มันอธิบายได้ไหมว่าทรัพย์สินมากมายมหาศาลของมันได้มาอย่างไร ทั้งหุ้น 76,000 ล้านบาทที่มีการโอน, ซุก, หนีภาษีอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน ทั้งเงินที่ใช้ซื้อสโมสรฟุตบอล, เงินที่ใช้ซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหราในต่างประเทศ, เงินที่ใช้ในการใช้ชีวิตระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศในเวลานี้ แถมยังมีเหลือเฟือมาต่อท่อน้ำเลี้ยงพรรคพลังประชาชน และพวกกลุ่มเสื้อแดงอีก เงินมหาศาลเหล่านี้มาจากไหน ทั้งที่ตอนที่แสดงบัญชีทรัพย์สินไม่เคยปรากฏ และยังมีข้อสงสัยว่าสามารถนำเงินจำนวนมากมายมหาศาลนี้ออกนอกประเทศได้อย่างไร โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบได้?

มันไม่เคยตอบ ได้แต่พูดปัด หรือเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ ยกตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ จากสำนักข่าว Al Jazeera (อัพเดท: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้นำบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มออกข่าวไว้ที่นี่)
Q. You have certainly urged a peaceful resolution to the problems that Thailand is facing and the world is seeing right now.

Yet, it is your supporters that have been out on the streets, commandeering vehicles, setting them alight, pushing them toward security services, setting tyres on fire. You have actually said you want the government to be overthrown and perhaps these actions have incited them.

Q. คุณได้เรียกร้องให้แก้ปัญหาที่ประเทศไทยประสบอยู่ และเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกโดยสันติวิธี

แต่ผู้สนับสนุนของคุณเองที่ออกมาบนถนน, ยึดรถ, จุดไฟเผา, ผลักมันใส่ผู้รักษาความสงบ, จุดไฟเผายางรถ คุณได้เคยพูดว่าอยากให้ล้มรัฐบาลชุดนี้ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำ (พูด) เป็นตัวจุดชนวนเหตุการณ์เหล่านี้?

A. The prime minister himself gave a speech in parliament when he was the opposition.

He said if there was a protester, he should listen, whether it's one person or a hundred thousand people. And we hope to be the same, and we hope he will remember what he said in parliament.

A. นายกรัฐมนตรี (อภิสิทธิ์) ได้เคยพูดในสภาสมัยเป็นฝ่ายค้าน เขาพูดว่าถ้าหากมีผู้ประท้วงจะต้องรับฟัง ไม่ว่าหนึ่งคนหรือแสนคน ผมหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น และหวังว่าเขาจะจำคำพูดที่เขาพูดในสภาได้

มันตอบคำถามตรงไหนฟะ? เขาถามว่าที่เอ็งพูดน่ะ มีส่วนในการจุดชนวนความรุนแรงในครั้งนี้ไหม? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ว่านายกอภิสิทธิ์เคยบอกว่าควรรับฟังข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งท่านก็ฟัง แต่รับฟังเฉพาะในส่วนที่มีเหตุผล คือการปฏิรูปการเมือง

ข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดง การจับคนไปประจาน ไปเป็นตัวประกัน ไม่แตกต่างไปจากโจรก่อการร้ายเลย
พูดเรื่องข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดงแล้วก็เลือดขึ้นหน้าอีก มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าให้ตำรวจจับคนที่ทำร้ายเสื้อแดงให้ได้ภายใน 1 ชั่วโมง ไม่งั้นจะบุกโรงแรมที่จัดประชุมซัมมิท หรือให้นายกลาออกภายใน 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งการจับตัวพนักงานรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีไปซ้อม ไปสัมภาษณ์ ประจานท่ามกลางวงล้อมม็อบ แล้วยังจะขอแลกตัวกับนายอริสมันต์ พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ต่างจากโจรผู้ก่อการร้ายเลย ไม่มีความพยายามที่จะเจรจาหรือหาทางออกโดยสันติเลย แถมยังจับคนเป็นตัวประกันอีก...

เรื่องการโกงผมก็ได้พูดถึงในบทความเรื่อง "เกินกว่าจะมีเหตุผลให้สงสัยได้" ไปแล้ว ขอเสริมเรื่องจริงที่ได้รับฟังจากคนใกล้ชิดสัก 2 เรื่อง

ในสมัยรัฐบาลทักษิณการประมูลโครงการต้องเตรียมค่าน้ำชาไว้ประมาณ 30%
เรื่องแรกมาจากเพื่อนที่ทำงานในบริษัทก่อสร้างของญี่ปุ่น เล่าให้ฟังว่าในช่วงรัฐบาลทักษิณการจะประมูลโครงการทั้งเล็กทั้งใหญ่ต้องเตรียมค่าน้ำชาไว้ประมาณ 30% ของงบประมูล แปลว่าเม็ดเงินที่ควรจะนำไปจ้างงาน นำไปซื้อวัสดุ จะถูกหักเข้ากระเป๋าใครบางคนไป ทำให้งานก่อสร้างต่ำกว่ามาตรฐาน และเม็ดเงินที่จะทำให้เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นก็หายไปเปล่าๆ มันไม่ต่างจากการเก็บส่วย หรือค่าคุ้มครองเลย คือเงินภาษีที่ประชาชนหามาได้โดยสุจริต และจ่ายให้แก่รัฐเพื่อให้รัฐนำไปพัฒนาประเทศ กลับถูกนำไปใช้ปรนเปรอนักการเมืองโลภๆ เหล่านี้

อัยการถามกลับมาว่า "แล้วพี่ไม่ได้เตรียมค่าหัวคิวให้เขาจริงๆ เหรอ?"
อีกเรื่องจากญาติที่เป็นผู้บริหารองค์กรในความควบคุมของรัฐองค์กรหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าได้จัดการประมูลโครงการก่อสร้างโครงการหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา จนเสร็จสิ้น ได้ผู้ชนะการประมูลเป็นที่เรียบร้อย เมื่อนำเรื่องไปเสนอให้รัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณอนุมัติ กลับถูกเตะถ่วงเรื่อง เหตุเพราะไม่มีค่าหัวคิวให้เขา แน่นอนเรื่องนี้รัฐมนตรีไม่เอ่ยปากเองหรอกครับ แต่มีผู้ติดตามเป็นคนมาติดต่อ บอกว่าถ้าไม่มีหัวคิว ก็ให้ล้มประมูลแล้วประมูลใหม่ แต่ด้วยความเป็นคนตรงจึงไม่ยอมทำตาม นำเรื่องดังกล่าวไปปรึกษาอัยการกลับเจอถามกลับมาว่า "แล้วพี่ไม่ได้เตรียมค่าหัวคิวให้เขาจริงๆ เหรอ?" มันน่าร้องไห้ไหมล่ะครับ สุดท้ายก็โดนปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหารองค์กรนั้น... มันน่าอยู่ไหมล่ะประเทศที่คนทำดีต้องถูกกลั่นแกล้ง คนประจบสอพลอกลับได้ดี...

จริงอยู่โครงการ 30 บาท, ระบบประกันสังคม, ทุนการศึกษาในส่วนท้องถิ่นของเขาเป็นนโยบายที่ดี แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามันออกนโยบายแล้วก็ไปกว้านซื้อหุ้นในโรงพยาบาลเอกชน (ถ้าโรงพยาบาลรัฐต้องดูแลผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มขึ้น ผู้ที่ต้องการความสะดวกก็ย่อมหันไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน) หรือข้อครหาที่ว่านักเรียนที่ได้รับทุนไปเรียนต่างประเทศมีความเกี่ยวพันกับหัวคะแนน... มันอาจจะเป็นแค่ข้อกล่าวหาลอยๆ หรือเป็นเพียงการลงทุนธรรมดาของนักธุรกิจ แต่คุณเป็นนายก สามารถกำหนดความได้เปรียบเสียเปรียบทางธุรกิจได้โดยง่าย การกระทำเช่นนี้มันไม่เหมาะสม... แล้วไม่ใช่ว่าไอ้แม้วคนเดียวที่ต้องการแก้ปัญหาความยากจน นายกอภิสิทธิ์ก็มีนโยบายเรียนฟรี และเบี้ยเลี้ยงชีพผู้สูงอายุ ใจเย็นๆ รอดูท่านทำงานก่อนไม่ได้เหรอ?

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงไม่สามารถเลวร้ายเท่ากับการปลุกระดมประชาชนให้โค่นล้มรัฐบาลโดยใช้ความรุนแรง โดยก่อความวุ่นวายในที่ประชุมนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยก่อจลาจลในเมืองหลวง เผารถเมล์ ซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติได้

การกระทำที่ไม่คิดถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาผู้นำประเทศมหาอำนาจในเอเชีย ไม่คิดถึงการท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ไม่คิดถึงเหล่าโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งบริษัทต่างชาติวางแผนที่จะมาลงทุนเพิ่ม หรือย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเทรา...


ประชาชนไทยที่รักชาติเขาเข้าใจดีว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้ประเทศบ้านเกิดของเขาต้องประสบวิกฤตที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และเขาจะไม่ต้อนรับเอ็งเข้าสู่ประเทศนี้อีกเป็นแน่
ขอแสดงความยินดีกับไอ้สัตว์นรกแม้ว เอ็งได้กลายเป็นโจรก่อการร้ายข้ามชาติอย่างเต็มตัวแล้ว และก็จะมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยว่าเป็นผู้บ้าอำนาจ ผู้ได้ทำลายชาติบ้านเมือง ก่อให้เกิดความแตกแยกในประเทศ เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก ต่อจากนี้ไปเอ็งคงไม่มีแผ่นดินอยู่แล้ว เพราะประชาชนไทยที่รักชาติเขาเข้าใจดีว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้ประเทศบ้านเกิดของเขาต้องประสบวิกฤตที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และเขาจะไม่ต้อนรับเอ็งเข้าสู่ประเทศนี้อีกเป็นแน่

สุดท้ายนี้ขอให้นายกอภิสิทธิ์ และตำรวจ, ทหารที่รักชาติทุกท่าน (ไม่รวมไอ้พวกสีกากีแดง หรือทหารแดงนะ) ประสบความสำเร็จในการปราบมารร้ายเหล่านี้ และขอให้พวกเศษเดนมนุษย์ พวกทำลายชาติทั้งหลายจงฉิบหายวายวอดด้วยเทอญ

2 comments:

  1. เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวอ่าน

    ขอแปะนี่ก่อน เดี๋ยวลืม

    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9520000039418

    อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไปกุเกิ้ลงานเขาอ่่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

    คุณพ่อครัวจะอธิบายให้ฟังง่ายๆได้ป่าวคะ?

    ReplyDelete
  2. http://www.bbc.co.uk/blogs/worldtonight/2009/04/thailand_the_prime_ministers_s.html

    ดูไอ้นี่ ตอนกินข้าวเที่ยงแล้วข้าวอร่อยชะมัด

    มันไปโชว์โง่วววววว ให้ชาวโลกเห็นชัดๆ กรั่กๆๆๆส์

    เท่าที่อ่านๆมา สื่อต่างประเทศ ค่ายที่ไม่เอียงมาก ก็ไม่ได้เชื่อไอ้บ้านี่กันหรอก หึหึ

    ReplyDelete